วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์

หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ (computer memory) มี 2 ประเภท คือ

หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่าหน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)
 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.2.1 หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)
       เป็นหน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึก
ซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)
       โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับเครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน
เฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น

 
2.2.2 หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)
                เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว
                ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น

 
internal storge หรือเป็นหน่วยเก็บข้อมูลและโปรแกรมชั่วคราว( temporary storage)
เมื่อปิดเคื่รองคอมพิวเตอร์ข้อมูลหรือโปรเเกรมทุกอย่าง ที่เก็บในแรมจะหายไป เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยง หน่วยเก็บข้อมูลประเภทนี้จึงเรียกว่า volatile ดังนั้นจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร ไว้ใช้งานในภายหลัง จึงจำเป็นจะตอ้งมีหน่วยเก็บเข้อมูลภายนอกที่เรียกว่า external storage หรือ secondary storage หรือ auxiliary storage ซึ่งสามารถจัดเก็บข้อมูลสำหรับการประมวลผลไว้ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีกระเเส ไฟฟ้าหล่อเลี้ยง( non-volatile) ก็ตาม

กระบวนการในการเก็บข้อมูล เรียกว่า การเขียนหรือการบันทึกข้อมูล ( writing หรือ recording data)
เนื่องจากว่า อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง จะบันทึกข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆที่สามารถนำมาเร๊ยกในภายหลังได้ กระบวนการดึงข้อมูลมาใช้เรียกว่า retrieving data เเละถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจะเรียกว่า reading data เพราะอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองจะอ่านข้อมูลและถ่ายโอนไปยังหน่วยความจำหลัก เพื่อการประมวลผลต่อไป

การใช้งานคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆ จะมีความต้องการอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป เช่น บริษัทประกันและธนาคาร อาจมีความต้องการอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้จำนวนมาก ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจต้องการอุปกรณ์ ในการจัดเก็บข้อมูลไม่มากนัก

 หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)



อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
 จานแม่เหล็ก ( magnetic disk storage) 

จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชื่อถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็ก เช่น ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk )

 ฟลอปปี้ดิสก์ ( floppy disks) 
floppy disk
ฟลอปปี้ดิสก์ นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ดิสก์เกตต์ ( diskettes) หรือดิสก์ ( disks) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่สามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 นิ้ว และ 5.25 นิ้ว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้วแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies) เพราะดิสก์มีลักษณะที่บางและยืดหยุ่น แต่ปัจจุบันลักษณะของดิสก์ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดิสก์ที่หุ้มด้วยแผ่นพลาสติกแข็ง แต่เนื้อดิสก์ภายในยังคงอ่อนเหมือนเดิม จึงเรียกฟลอปปี้เช่นเดิม



ประโยชน์และการใช้งาน Smart Phone

ประโยชน์ของ สมาร์ทโฟน…

สมาร์ทโฟนนั้นที่นอกเหนือจากการที่ใช้โทรเข้าออกแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือนั้นจะสามารถนำมาประยุกต์ ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่มากมาย วัตกรรมทางเทคโนโลยีและด้านไอทีทางการสื่อสารที่อันเป็นทันสมัยในปัจจุบัน สมาร์ทโฟน นั้นจะสามารถนำมาใช้เป็นบัตรควบคุมการเข้าออก หรือ access card จ่ายค่าอาหาร หรือบัตรผ่านขึ้นเครื่องบินในสนามบินบางประเทศแล้วอีกด้วย
         และสิ่งที่เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตเหล่านี้และอีกมากมาย นั้นจะสามารถพบได้ในงานมหกรรมแสดงเทคโนโลยี Cards & Payments Asia 2012 ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ที่รวบรวมสุดยอดเทคโนโลยี หรือ Smart Technology และนวัตกรรมอันทันสมัยที่หลากหลายที่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม  
          งานมหกรรมแสดงเทคโนโลยี Cards & Payments Asia 2012 ได้มีการจัดอย่างต่อเนื่องกันมาถึง 17 ครั้ง  งานนวัตกรรมแห่งอนาคตนี้ได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 25-27 เมษายน ศกนี้ ณ บริเวณชั้น 4 Hall 401-403 ของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ

ผลดีของสมาร์ทโฟน ในการดำเนิน ธุรกรรมการเงินผ่านมือถือ
       บริษัท M2CASH หนึ่งในผู้สนับสนุน ของงานมหกรรมฯ ได้นำระบบโอนเงินที่ทันสมัยมาแสดงในงานครั้งนี้ โดยการนำเทคโนโลยีของ Virtual Card มาพัฒนา ผู้ใช้ระบบมือถือสามารถรองรับระบบนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่บัญชีธนาคาร หรือบัตรเอทีเอ็ม นั้นจะทำการยืนยันข้อมูลของผู้รับ และผู้ส่งสามารถทำเสร็จภายใน 7 วินาที ระบบโอนเงินของ M2CASH เป็นระบบเดียวในโลกที่สามารถดำเนิน ธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถือที่มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างครบถ้วน และมีการปลอดภัยสูงอีกด้วย
        และในทุกๆ ปี นั้นจะมีประชากรกว่า 2 ล้านคนรอบโลก ได้มีการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ นั้นจะมีมูลค่าประมาณ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ วิธีการนี้จะช่วยทำให้การโอนเงินจากวิธีเดิมที่ช้า และต้องใช้เอกสารเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัย นับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่อย่างมาก


การใช้งาน Smart Phone

ที่ใช้โทรศัพท์มือถือแบบธรรมดา ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อโทรออก หรือรับสายโทรเข้า มีการส่งข้อความแบบ SMS (Short Message Service)และส่งรูปภาพแบบ MMS (Multimedia Messaging Systemซึ่งค่าใช้จ่ายรายเดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการเลือก Package สมมติว่าเดิมท่านมีค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือเดือนละ 700-800 บาท เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Smart Phone โดยไม่เปลี่ยน Package หรือเปลี่ยนไม่ทัน หรือยังไม่ครบรอบบิล ค่าใช้จ่ายรายเดือนอาจจะเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น เพิ่มเป็น 1,600 บาท หรือขึ้นไปเป็นหมื่นบาท โดยที่ท่านแทบจะไม่ให้ใช้งานInternet ส่งอีเมล์ หรือเข้าดู YouTube เลย ในกรณีดังกล่าวจะมี SMS แจ้งมาจากผู้ให้บริการว่าท่านได้เข้าไปใช้เครือข่าย 3G/GPRS/EDGEและค่าใช้จ่ายของท่านได้เพิ่มสูงขึ้นมากเขาก็จะมีบริการแนะนำให้รีบเปลี่ยน Package การใช้ใหม่ให้เหมาะสม ซึ่งท่านควรจะต้องรีบเปลี่ยนทันทีและจริงๆ แล้ว เมื่อมีการซื้อโทรศัพท์แบบ Smart Phone คนขาย หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือควรจะต้องเน้นย้ำให้เปลี่ยน Package การใช้เสียใหม่ แต่มีคนจำนวนมากที่ซื้อโทรศัพท์จากตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ซึ่งเพียงแต่ขายเครื่องให้บางรายก็ไม่ได้ให้คำแนะนำ และในกรณีเปลี่ยนSIM ไปเป็น Micro SIM เราก็ต้องไปให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทำให้ ซึ่งบางแห่งก็ไม่ได้ให้คำแนะนำในการเปลี่ยน Package การใช้เช่นกัน

ดังนั้นผู้ที่ต้องการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจากแบบธรรมดา มาเป็น Smart Phone เช่น iPhone 5, Samsung Galaxy SIII, Nokia Lumia 920 ถ้าท่านไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ซึ่งอาจจะซื้อโทรศัพท์มือถือได้อีกเครื่องก็ควรพิจารณาการใช้ของท่านตามปกติก่อนว่าโทรออกเดือนละกี่นาที ส่ง SMS, MMS เดือนละกี่ครั้ง เป็นพื้นฐานซึ่งเช็คได้จากใบแจ้งหนี้ค่าโทรศัพท์รายเดือน แล้วเลือก Package Smart Phone ที่เหมาะสม เช่น สามารถใช้ 3G/EDGE/GPRS ได้ไม่จำกัด ใช้ Wi-Fi ได้ไม่จำกัด เป็นต้น แล้วขอเปลี่ยน Package ทันที แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อไปนี้จะสูงขึ้น เพราะท่านใช้ Features ของ Smart Phone มากขึ้น โดยใช้ทั้งส่วน Voice และส่วน Data
 

หมายเหตุ : 
ในบาง
 Package ที่ระบุว่าใช้ 3G/EDGE ได้ไม่จำกัดนั้น ความจริงคือการใช้ Data จะจำกัดอยู่ที่ 2 หรือ  3 หรือ 5 GB ด้วยความเร็วสูงสุด (ซึ่งบางผู้ใช้บริการก็ไม่บอกแน่ชัดว่าเท่าไร คงขึ้นกับ Network ระยะทาง และจำนวนผู้ใช้) และเมื่อท่านใช้ครบตามปริมาณที่กำหนดแล้ว ก็ยังสามารถเล่นเน็ตต่อไปได้ไม่จำกัด แต่ความเร็วสูงสุดได้เพียง 64 ถึง 128 Kbps  ซึ่งลองนึกถึงสมัยก่อนที่ใช้อินเทอร์เน็ต โดยมีการ Dial ผ่านโมเด็มความเร็ว 64 Kbps มันไม่ค่อยมีประโยชน์แล้ว ในโลกแห่งการสื่อสารปัจจุบัน
ทำไมโทรศัพท์ Smart Phone จึงทำให้ค่าใช้จ่ายด้าน Data เพิ่มสูงมากขึ้น (ถ้าไม่เปลี่ยน Package)
1. โทรศัพท์แบบ Smart Phone มีการตั้งค่าเชื่อมต่อ 3G/GPRS/EDGE/Roaming ได้ การเชื่อมต่อทำได้โดยการเปิด Use Packet Data เช่น กรณีของ Samsung Galaxy SIII สามารถทำได้โดย

1.1 ตั้งแถบบน แตะที่ Mobile Data (A

1.2 
เข้าที่ Setting Data Usage แตะ Mobile Data หรือ เข้าที่ Setting  --> Data Usage แตะ More Setting  --> MobileNetwork แตะที่ Use Packet Data
      เมื่อมีการเปิด Mobile Data ไว้ท่านก็จะสามารถใช้ Internet, e-mail, เข้าชม YouTube ฯลฯ ได้ แต่ทำนองเดียวกัน Smart Phone  จะทำการติดต่อกับเครือข่ายผู้ให้บริการ และทำให้ปริมาณการใช้  Data  ของท่านสูงขึ้น อย่างน่าตกใจ แม้ว่าท่านจะไม่ได้ใช้งานเลย ทั้งนี้เพราะมีการ Download หรือ Upload ข้อมูลของ Applications ต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องโทรศัพท์มือถือโดยอัตโนมัติ  เช่น Facebook  ที่มีการแจ้ง  Update  ต่างๆ โดยอัตโนมัติ เว้นแต่ท่านจะตั้งไม่ให้ทำการ Update โดยอัตโนมัติ หรือให้แจ้งให้ทราบก่อน นอกจากนั้นด้านการใช้ Internet ซึ่งอาจใช้ข้อมูลมากกว่าที่ต้องการ ดังนั้นอาจจำเป็นต้องปิดการโหลดของข้อมูลในโหมดBackground ของ Applications เช่น กรณีของ Samsung Galaxy SIII ทำได้โดยไปที่ Data Usage --> แตะที่ด้านล่างสุดซ้ายมือ --> Restrict Background Data  -->  แตะ OK
2. การเชื่อมต่อ Wi-Fi การเปิดใช้ Wi-Fi ถ้าท่านมีระบ Wi-Fi ที่บ้านเป็นความสะดวกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไปสถานที่ต่างๆที่มีบริการ Wi-Fiสาธารณะ บางแห่งจะเข้าใช้งานได้ บางแห่งจะต้องมีรหัสผ่าน การใช้ Wi-Fi นั้น ได้ความเร็วสูง แต่ระยะทางสั้น  สำหรับเครื่อง Smart Phone ก็เหมือนกับอุปกรณ์อื่นๆอีกมากที่มี Sleep Mode หรือเพื่อประหยัดการใช้ไฟ แต่เป็นระบบ Standby เครื่องพร้อมที่จะใช้งาน ถ้ากดปุ่ม หรือเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามา ถ้าเราสังเกตุเมนูการตั้ง Wi-Fi ถ้าเราตั้ง Keep Wi-Fi on during sleep แล้วตั้งที่ Always ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไปปิด Wi-Fi ระบบ Android คงจะพยายามไปหาทางเข้าใช้ด้านอื่น คือไปทาง 3G/GPRS/EDGE  ซึ่งจะทำให้การใช้งาน Data เพิ่มขึ้น สำหรับการ Run ที่เป็น Background ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นได้
 
ตัวอย่างการที่ Smart Phone ทำงานเองโดยใช้เวลาไปถึง 777 นาที ใน 1 วันจากการทดลองเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ โดยให้เชื่อมต่อ Mobile Data เอาไว้ พบว่าทำให้ชั่วโมงการใช้งานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ตามตัวอย่างข้างล่าง เพียง 1 วัน มีการใช้ GPRS/EGDE ถึง 777 นาที (ประมาณ 13 ชั่วโมงทั้งๆที่ไม่ได้ใช้เลย  ดังนั้น หากผู้ใช้ไม่ทราบเรื่องนี้ ก็จะต้องจ่ายค่าโทรศัพท์เพิ่มขึ้นมาก และก็คงมีคนที่ซื้อมาใช้ใหม่ๆ จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ทราบ ก็ต้องจ่ายเงินให้บริษัทผู้ให้บริการไป





ความสามารถของคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันนี้

ในที่ทำงาน มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บบันทึก วิเคราะห์ข้อมูล ทำงานวิจัย และจัดการโครงการต่างๆ ที่บ้าน คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูล เก็บรูปภาพและเพลง ติดตามข้อมูลทางบัญชี เล่นเกม และสื่อสารกับผู้อื่น—เหล่านี้เป็นเพียงความสามารถเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ซึ่งคือเครือข่ายที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์รอบโลกเข้าด้วยกัน การใช้อินเทอร์เน็ตสามารถทำได้โดยเสียค่าใช้บริการรายเดือนในเขตเมืองส่วนใหญ่ และในพื้นที่ที่มีประชากรน้อยลงมา ก็มีบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอินเทอร์เน็ต คุณสามารถสื่อสารกับผู้คนรอบโลกและค้นหาข้อมูลได้มากมาย
การใช้คอมพิวเตอร์แบบที่นิยมกันมากที่สุด ได้แก่

เว็บ

เวิลด์ไวด์เว็บ (โดยทั่วไปจะเรียกว่า Web หรือ เว็บ) คือคลังข้อมูลขนาดมหึมา เว็บคืออินเทอร์เน็ตส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากว่าแสดงข้อมูลส่วนใหญ่ในรูปแบบที่ดึงดูดสายตา หัวข้อข่าว ข้อความ และรูปภาพสามารถรวมเข้าด้วยกันอยู่ใน เว็บเพจ เดียว—ซึ่งเหมือนกับหน้าในนิตยสาร—ที่มีเสียงและภาพเคลื่อนไหว เว็บไซต์ คือชุดของเว็บเพจที่เชื่อมต่อถึงกัน เว็บประกอบด้วยเว็บไซต์นับล้านไซต์และเว็บเพจเป็นพันล้านเพจ
รูปภาพของเว็บเพจ Microsoft Game Studios
ตัวอย่างของเว็บเพจ (Microsoft Game Studios)
การท่อง เว็บหมายถึงการสำรวจเว็บ คุณสามารถหาข้อมูลในเว็บในทุกเรื่องที่สามารถจินตนาการได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถอ่านข่าวและบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ตรวจสอบตารางการเดินทางของสายการบิน ดูแผนที่ถนน ขอการพยากรณ์อากาศในเมืองที่คุณอยู่ หรือค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ บริษัทส่วนใหญ่ หน่วยงานของรัฐบาล พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุดต่างก็มีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือคอลเลกชันต่างๆ ของตน แหล่งข้อมูลอ้างอิง เช่น พจนานุกรมและสารานุกรม มีอยู่มากมายในเว็บ
เว็บยังเป็นความเพลินใจของนักช้อปอีกด้วย เนื่องจากว่าคุณสามารถเรียกดูและซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ — เช่น หนังสือ เพลง ของเล่น เสื้อผ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย — จากเว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกต่างๆ และคุณยังสามารถซื้อและขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่ใช้ระบบประมูลสินค้าได้ด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการท่องอินเทอร์เน็ตและเว็บ โปรดดู การท่องอินเทอร์เน็ต

อีเมล

อีเมล (ชื่อย่อของ อิเล็กทรอนิกส์เมล) เป็นวิธีการที่สะดวกในการติดต่อกับผู้อื่น เมื่อคุณส่งข้อความอีเมล อีเมลจะไปถึงกล่องขาเข้าของผู้รับเกือบจะทันที โดยคุณสามารถส่งอีเมลให้หลายคนได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถบันทึก พิมพ์ และส่งต่ออีเมลไปยังผู้อื่นได้ คุณสามารถส่ง แฟ้ม แทบทุกชนิดในข้อความอีเมล รวมทั้งแฟ้มเอกสาร รูปภาพ และเพลง และเมื่อคุณใช้อีเมล คุณไม่ต้องติดแสตมป์! โปรดดู การเริ่มต้นใช้งานอีเมล

ข้อความโต้ตอบแบบทันที

ข้อความโต้ตอบแบบทันทีเป็นเหมือนการสนทนาแบบในเวลาจริงกับบุคคลอื่นหรือกลุ่มบุคคลอื่น เมื่อคุณพิมพ์และส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที ผู้เข้าร่วมการสนทนาทุกคนจะมองเห็นข้อความนั้นได้ทันที สิ่งที่แตกต่างจากอีเมลคือผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องออนไลน์ (เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) และอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมกัน การสื่อสารด้วยข้อความโต้ตอบแบบทันทีเรียกว่า การสนทนา

รูปภาพ เพลง และภาพยนตร์

ถ้าคุณมีกล้องดิจิทัล คุณสามารถย้ายรูปภาพจากกล้องไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ จากนั้นคุณสามารถพิมพ์รูปภาพ สร้างการนำเสนอภาพนิ่ง หรือใช้รูปภาพร่วมกับผู้อื่นทางอีเมลหรือโดยการติดประกาศรูปภาพบนเว็บไซต์ (เมื่อต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้กับรูปถ่าย โปรดดู การทำงานกับรูปภาพดิจิทัล) นอกจากนี้คุณยังสามารถฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ โดย การนำเข้า (โอนย้ายไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ) เพลงจากซีดีเพลงหรือโดยการซื้อเพลงจากเว็บไซต์เพลง หรือปรับหาคลื่นของสถานีวิทยุนับพันๆ ที่ออกอากาศทางอินเทอร์เน็ต ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณมีเครื่องเล่นดีวีดี คุณสามารถชมภาพยนตร์ได้

การเล่นเกม

คุณชอบเล่นเกมหรือไม่ เกมคอมพิวเตอร์เป็นพันๆ เกม มีหลากหลายประเภทพร้อมเพื่อสร้างความบันเทิงให้คุณ ไม่ว่าคุณอยากจะจับพวงมาลัยแข่งรถ ต่อสู้สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวในคุกมืด หรือสร้างอารยธรรมและอาณาจักร! มีเกมหลายเกมที่จะอนุญาตให้คุณแข่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ รอบโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ตWindows มีเกมไพ่ เกมปริศนา และเกมเชิงยุทธศาสตร์ (โปรดดู เรียนรู้เกี่ยวกับเกมใน Windows)

ประโยชน์และการใช้งาน Tablet

 

แท็บเล็ท (Tablet)

ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ที่ให้คุณสามารถพกติดตัวได้โดยวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนสมุดหรือกระดาษ
"แท็บเล็ต - Tablet" ในความหมายแท้จริงแล้วก็คือแผ่นจารึกที่เอาไว้บันทึกข้อความต่างๆโดยการเขียน (อาจจะเป็นกระดาษ, ดิน, ขี้ผื้ง, ไม้, หินชนวน) และมีการใช้กันมานานแล้วในอดีต แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาแทนที่ซึ่งมีหลายบริษัทได้ให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป หลักๆแล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet Personal Computer)" และ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet"
 
ในปัจจุบันถูกพัฒนาให้มีความสามารถใกล้เคียงเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเลยทีเดียว เครื่องแท็บเล็ตพีซี มีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถถือได้ด้วยมือเดียวและน้ำหนักเบากว่าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค

แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)

"แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากทาง Microsoft ได้ทำการเปิดตัว Microsoft Tablet PC ในปี 2001 แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปและไม่เป็นที่นิยมมากนัก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ Laptops ตรงที่อาจจะไม่มีแป้นพิมพ์ในการใช้งาน แต่อาจจะใช้แป้นพิมพ์เสมือนจริงในการใช้งานแทน (มีแป้นพิมพ์ปรากฎบนหน้าจอใช้การสัมผัสในการพิมพ์) "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ทุกเครื่องจะมีอุปกรณ์ไร้สายสำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายใน

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือ แท็บเล็ต - Tablet

"แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม" ซึ่งทางบริษัท Apple ผู้ผลิต "ไอแพด - iPad" ได้เรียกอุปกรณ์ของตัวเองว่าเป็น "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" เครื่องแรก
 

ความแตกต่างระหว่าง "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet computer" และ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC"

เริ่มแรก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" จะใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86 ของ Intel เป็นพื้นฐานและมีการปรับแต่งนำเอาระบบปฏิบัติการหรือ OS ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ Personal Computer - PC มาทำให้สามารถใช้การสัมผัสในการทำงานได้ ตัวอย่างเช่น Windows 7 หรือ Ubuntu Linux แทนที่จะใช้แป้นพิมพ์คีย์บอร์ดหรือเมาส์ และเนื่องจากเป็นการรวมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และหน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ของ Intel ทำให้มีคนเรียกกันว่า "Wintel"
 
ต่อมาในปี 2010 ได้เกิดแท็บเล็ตที่แตกต่างจาก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ขึ้นมาโดยไม่มีการยึดติดกับ Wintel แต่ไปใช้ระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์เคลื่อนที่แทนนั่นก็คือ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆว่า แท็บเล็ต - Tablet" ซึ่งจะใช้หน้าจอแบบ capacitive แทนที่ resistive ทำให้สามารถสัมผัสโดยการใช้นิ้วได้โดยตรงและสัมผัสพร้อมกันทีละหลายจุดได้หรือ multi-touch ประกอบกับการใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM แทนซึ่งสถาปัตยกรรม ARM นี้ทำให้แท็บเล็ตนั้นมีการใช้งานได้ยาวนานกว่าสถาปัตยกรรม x86 ของ Intel หลายๆคนคงจะรู้จักแท็บเล็ตตัวนี้กันเป็นอย่างดีนั้นก็คือ ไอแพด (iPad) นั้นเอง
 

Post-PC operating systems

ในปัจจุบันมีความนิยมในการใช้งาน Tablet สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดการแข่งขันและการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับ tablet ขึ้นมาเฉพาะโดยไม่ได้ตามเทคโนโลยีของ PC หรือ PDA เหมือนในอดีต ไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมด้าน Hardware หรือ Software ต่างมีผู้ผลิต OS (Operating System) ของตนเองมาแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าย Windows เองก็พยายามจะรักษาตลาดเดิมของ PocketPC เอาไว้ นอกจากนี้ Apple ผู้ผลิต iPad ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน Tablat อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ก็มี iOS ที่พัฒนาสำหรับ Tablat โดยเฉพาะและมีจุดแข็งในการผลิตฮาร์ดแวร์เองทำให้ OS สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้คู่แข่งสำคัญอย่าง Google ก็มี Android OS ที่มีจุดแข็งในการเปิดให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อื่นๆ สามารถนำ Android OS ไปใช้ได้กับฮาร์ดแวร์ของตน นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ผลิตหลายราย ที่พยายามสร้าง OS ของตนขึ้นมาเพื่อใช้งานกับ Tablat ของตนเอง เช่น Blacberry Tablet OS ที่อิงระบบ QNX หรือ HP ที่พยายามสร้าง webOS เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด แต่ทำไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม Tablat ยังมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในอนาคต Tablat จะเป็นมากกว่ากระดานชนวนอิเล็กทรอนิกส์ แต่จะบรรจุเทคโนโลยีมากมาย อีกทั้งความสามารถด้านการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถของ Tablat เปิดกว้างมายิ่งขึ้น