คอมพิวเตอร์กับการแก้ปัญหาการศึกษาไทย
ระบบการศึกษาไทย มีการจัดระบบการศึกษาขั้นประถมศึกษา 6 ปี
การศึกษาขั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี และการศึกษาขั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี
หรือระบบ6-3-3
และยังจัดเป็นระบบการศึกษาในระบบโรงเรียน
การศึกษานอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ฉะนั้นแนวทางใหม่คือสถาบันศึกษาสามารถจัดได้ทั้ง
3 รูปแบบ และให้มีระบบเทียบโอนการเรียนทั้ง 3 รูปแบบ
การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการศึกษาอาจแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
1.ในด้านการบริหารการศึกษา
ผู้บริหารการศึกษามีความจำเป็นที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนในการจัดเตรียมงบประมาณ จัดเตรียมห้องเรียนได้ตามความต้องการ
จัดครูได้ตามความถนัดของผู้สอนและมีชั่วโมงการสอนพอเหมาะ จัดตารางเรียนตารางสอน
จัดหน้าที่ต่าง การแบ่งส่วนการรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนที่มีนักเรียนและบุคลากรเป็นจำนวนมาก
การที่นำคอมพิวเตอร์มาช่วยจะช่วยเพิ่มความสะดวกและมีระบบมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ทางการบิหารหารศึกษานั้น
แบ่งเป็น 5 ด้าน
1.1
ข้อมูลด้านนักศึกษา
เป็นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว เช่น ชื่อ ภูมิลำเนา ความเป็นอยู่
อีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการศึกษาในระหว่างศึกษาในสถาบันนั้นๆ เช่น การลงทะเบียน
เรียนวิชาอะไรแล้วบ้าง ลงเรียนไปกี่หน่วยกิต เหลือกี่หน่วยกิต ต้องลงวิชาอะไรเพิ่มเติม เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่
ยังมีสิทธิได้ศึกษาต่อหรือไม่ ได้รับเหรียญรางวัลผลการดีหรือไม่
1.2
ข้อมูลด้านแผนการเรียน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับวิชาที่เปิดสอน เช่น วิชาไหนเปิดสอน รหัสวิชาอะไร ใครเป็นครูผู้สอน เวลาที่เปิดสอน เป็นหมู่บรรยายหรือปฏิบัติ
1.3
ข้อมูลด้านบุคลากร เป็นข้อมูลเกี่ยวกับครูผู้สอน เช่นมีวุฒิอะไร
สอนวิชาอะไร มีความถนัดทางด้านไหน
เงินเดือนเท่าไหร่
1.4
ข้อมูลด้านการเงิน เป็นข้อมูลที่สถานศึกษานั้นมีรายรับ-รายจ่าย อย่างไร
ใช้จ่ายเรื่องอะไรและได้รับเงินจากที่ไหน
เช่น มีงบประมาณเท่าไหร่
เดือนนี้ซื้ออะไรบ้าง เหลือเงินเท่าใด
1.5ข้อมูลด้านอาคารสถานที่และอุปกรณ์ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอาคาร ห้องแต่ละห้อง
ความจุ ขนาดห้อง เช่น ห้องเรียนจุผู้เรียนได้กี่คน มีแอร์ มีอุปกรณ์ สื่อ พอใหม่ มีอะไรชำรุด
2.การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการสอน
ในความเป็นจริงแล้วคอมพิวเตอร์อาจช่วยครูทำงานบางอย่างได้ดีกว่าครู แต่ก็มีงานหลายอย่างที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้
ในระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันหากนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยอาจจะต้องมีคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนแต่ละคน
เพื่อจะได้ใช้เก็บข้อมูล พัฒนาการ
ผลการเรียน ประวัติ และครูสามารถมาติดตามความคืบหน้า ค้นข้อมูล ความสนใจ
ความสารถของผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างครบถ้วนและสารถดูพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
และที่สำคัญนั้นหากนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการศึกษาจะช่วยแก้ปัญหาการที่นักเรียนแต่ละคนมีความถนัด
ความสารถแตกต่างกัน
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการศึกษานักเรียนแต่ละคนสามารถเรียนวิชาที่ตนถนัดติดต่อกัน
หรือเรียนได้เท่าที่ต้องการ
ถึงแม่จะอยากเรียนวิชาที่ไม่มีครูผู้สอนในโรงเรียนก็สามารถเรียนได้และหากสนใจจะหาข้อมูลหรือหาความรู้เพิ่มเติม
คอมพิวเตอร์สามารถแนะนำได้ให้ตามความเหาะสม
และหากผู้เรียนคนไหนไม่ชอบวิชาเหล่านั้น เรียนมานานก็ยังไม่มีพัฒนาการ
คอมพิวเตอร์ก็จะสามารถช่วยหาแนววิธีการเรียนใหม่ๆ เช่นการเล่นเกมส์
เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้เรียน และระบบคอมพิวเตอร์นั้นสามารถปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการศึกษานั้นจะช่วยอำนวยความสะดวก
เพิ่มความเป็นระบบ ระเบียน และจะทำให้การศึกษามีความก้าวหน้า
แต่ในความเป็นจริงการที่จะนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในปริมาณมากขนาดนั้น ประเทศไทยคงมีงบประมาณไม่เพียงพอ งั้นเราควรใช้บุคลากรของเราที่มีคุณภาพเข้ามามีส่วนร่วมจะได้ช่วยให้การศึกษาพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น