วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

.ทฤษฏีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative Learning)

ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)
              ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  คือการเรียนรู้กลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ  ๓-๕ คนช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม  เป็นแนวคิดของ          สลาวิน   เดวิด  จอห์นสัน  และรอเจอร์  จอห์นสัน  มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี  ๓ ลักษณะ คือ
๑.  ลักษณะของการแข่งขัน  ในการศึกษาเรียนรู้  เพื่อให้ได้คะแนนดี  ได้รับยกย่อง  หรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่าง ๆ
               ๒.  ลักษณะต่างคนต่างเรียน  รับผิดชอบในการเรียนของตนเองให้เกิดการเรียนรู้  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
              ๓.  ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้  คือ  แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเอง  และช่วยเพื่อนสมาชิกอื่นเรียนรู้ด้วย  ในปัจจุบันมักส่งเสริมการเรียนรู้แบบแข่งขันซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้เรียนเกิดความเคยชินต่อการแข่งขันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มากกว่าร่วมมือแก้ปัญหา  แต่ก็ให้โอกาสผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้ง  ๓  ลักษณะ
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
มี  ๕  องค์ประกอบ
                ๑.  การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน  (positive interdependence)  สมาชิกในกลุ่มมีความสำคัญทุกคน  ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม  สมาชิกจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบความสำเร็จ  ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดี่ยวกันก็ช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
๒.  การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด  (fact –to-face promotive interaction)  สมาชิกมีการพึ่งพาช่วยเหลือกัน  เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการช่วยเหลือให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย  สมาชิกกลุ่มจะไว้วางใจ ห่วงใย ส่งเสริม ช่วยเหลือกัน เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
๓.  ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน  สมาชิกทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถไม่มีใครได้รับประโยชน์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน  ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบผลงานทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม  มีการทดสอบรายคน รายกลุ่ม  สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนในกลุ่ม  จัดให้มีผู้สังเกตการณ์  การให้ผู้เรียนสอนกันและกัน
๔.  การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระห่างบุคคลกับการทำงาน
การเรียนรู้แบบร่มมือจะประสบคามสำเร็จได้ต้องอาศัยทักษะหลายประการ เช่น  ทักษะทางสังคม  ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม  ทักษะการสื่อสาร  ทักษะการแก้ปัญหาคามขัดแย้ง  มีความเคารพ  ยอมรับ  และไว้วางใจซึ่งกันและกัน  ซึ่งครูควรสอน/ฝึกให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้การดำเนินงานไปได้
๕.  การวิเคราะห์กระบนการกลุ่ม (group processing)
การเรียนรู้แบบรวมมือต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของกลุ่ม พฤติกรรมสมาชิกกลุ่ม  ผลงานกลุ่ม  การวิเคราะห์การเรียนรู้อาจทำได้ทั้งครูและผู้เรียน  กลุ่มต้องได้รับข้อมูลป้อนกลับ  ช่วยฝึกทักษะการคิด สามารถประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนเองได้  ผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
๑.      มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น  เช่น  มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น  มีผลงานมากขึ้น  มี
ความคงทนมากขึ้น  มีแรงจูงใจทั้งภายนอกและภายใน  และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์  ใช้เลาอย่างมีประสิทธิภาพ  ใช้เหตุผล และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
๒.     มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น  แสดงคามมีน้ำใจนักกีฬามากขึ้น  ใส่ใจผู้อื่นมากขึ้น 
เห็นคุณค่าของความแตกต่าง  หลากหลาย  มีการประสานสัมพันธ์และการรวมกลุ่มมีสุภาพจิตดีขึ้น
การเรียนแบบร่มมือ  ทำให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตดีขึ้น  มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเอง  เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น  ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และการเผชิญสถานการณ์  คามเครียดและคามแปรผันต่าง ๆ
๑.      กลุ่มที่เป็นแบบทางการ  มีการางแผน จัดระเบียบ มีกฎเกณฑ์    เพื่อผู้เรียนได้เรียนอย่าง
ต่อเนื่อง  แม้จะหลายครั้ง หลายชั่วโมง  ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด
๒.     กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ  อาจจะเป็นเฉพาะกิจ บางครั้งบางคราว  สอดแทรกในการสอนปกติ
อื่นๆ เช่นสอนแบบบรรยายครูก็สามารถแทรกการจัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือได้
๓.     กลุ่มที่เป็นแบบทางการ  มีการางแผน จัดระเบียบ มีกฎเกณฑ์    เพื่อผู้เรียนได้เรียนอย่าง
ต่อเนื่อง  แม้จะหลายครั้ง หลายชั่วโมง  ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด
๔.     กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ  อาจจะเป็นเฉพาะกิจ บางครั้งบางคราว  สอดแทรกในการสอนปกติ
อื่นๆ เช่นสอนแบบบรรยายครูก็สามารถแทรกการจัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น